การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKR)

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKR) คือหนึ่งในการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรง โดยมีเป้าหมายหลักคือการ ลดอาการปวดเรื้อรัง และ ฟื้นฟูการใช้งานข้อเข่า ให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด งานวิจัยและสถิติยืนยันว่า อัตราความสำเร็จของการผ่าตัด TKR สูงถึง 99% และข้อเข่าเทียมที่ติดตั้งอย่างถูกต้องสามารถ ใช้งานได้นานเกิน 15-20 ปี ในผู้ป่วยส่วนใหญ่


1.เมื่อไหร่ที่ "ควร" พิจารณาเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

การผ่าตัด TKR มักถูกพิจารณาเมื่อภาวะข้อเข่าเสื่อมเข้าสู่ ระยะรุนแรง และการรักษาแบบอนุรักษ์นิยม (ไม่ผ่าตัด) ไม่สามารถบรรเทาอาการได้อีกต่อไป ผู้ที่ เหมาะสมที่สุด กับการผ่าตัดคือผู้ที่เข้าเกณฑ์หลัก 3 ประการ:

สัญญาณเตือนและเกณฑ์สำคัญ

1.อาการปวดรุนแรงและเรื้อรัง (Severe and Chronic Pain):

  • มีอาการปวดต่อเนื่องยาวนานเกิน 6 เดือน
  • อาการปวดรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก เช่น เดินลำบาก ต้องใช้เครื่องช่วยเดิน หรือ ปวดแม้ในขณะพักผ่อน (ปวดตอนกลางวันและกลางคืน)

2.ความผิดปกติของโครงสร้างและการเคลื่อนไหว (Deformity and Loss of Function):

  • ข้อเข่าผิดรูป อย่างเห็นได้ชัด เช่น ขาโก่ง (โค้งออก) หรือ ขาแปร (เกเข้าใน)
  • ข้อเข่าติดขัด/ขยับลำบาก ทำให้ไม่สามารถงอหรือเหยียดเข่าได้สุด (พิสัยการเคลื่อนไหวลดลง)
  • ข้อเข่าหลวมหรือไม่มั่นคง ทำให้รู้สึกโคลงเคลงขณะยืนหรือเดิน

3.การรักษาแบบอนุรักษ์นิยมไม่ได้ผล (Failure of Conservative Treatment):

  • ได้ลองรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้ว (เช่น ยาแก้ปวด/ต้านการอักเสบ, กายภาพบำบัด, การฉีดยาเข้าข้อ) แต่ อาการยังไม่ดีขึ้น หรือกลับมาเป็นซ้ำ

4.ความรุนแรงตามภาพถ่ายรังสี (Advanced Osteoarthritis):

  • ผล X-ray พบว่ากระดูกอ่อนผิวข้อสึกหรอไปทั้งหมดแล้ว มีภาวะ กระดูกชนกัน (Bone-on-bone) ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็น ข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรง (End-Stage Osteoarthritis)



2. ข้อจำกัดและใครบ้างที่ "ไม่ควร" ผ่าตัด TKR

TKR เป็นหัตถการใหญ่ที่มีความเสี่ยง แพทย์จะพิจารณา ข้อห้าม และ ข้อจำกัด อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หรือทำให้ผลการผ่าตัดไม่เป็นที่น่าพอใจ


กลุ่มผู้ป่วยที่ควรพิจารณาเลื่อน/หลีกเลี่ยง

  • ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อที่รุนแรง

ข้อห้ามเด็ดขาด: มีการติดเชื้อบริเวณข้อเข่าหรือแหล่งติดเชื้อเฉียบพลันในร่างกายที่ยังไม่ได้รับการรักษาหายขาด

  • ผู้ที่มีปัญหาด้านหลอดเลือด

มีภาวะหลอดเลือดแดงขาทำงานผิดปกติอย่างรุนแรง ซึ่งกระทบต่อการหายของแผล

  • ผู้ที่สูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้อ

ผู้ป่วยอัมพฤกษ์/อัมพาต หรือเอ็นลูกสะบ้าขาดรุนแรง เพราะไม่สามารถใช้ขาเดินได้ถึงแม้จะเปลี่ยนข้อเข่าแล้วก็ตาม

  • ผู้ที่มีข้อเข่ายึดติดรุนแรง

ผ่าได้แต่ผลลัพธ์อาจไม่กลับมาปกติเท่าคนทั่วไปขึ้นกับปัจจัย ระยะเวลาที่ยึดติด คุณภาพการทำงานกล้ามเนื้อรอบเข่า ผลลัพธ์เรื่องปวดมักลดลงชัดเจน การเคลื่อนไหวดีขึ้น แต่อาจไม่กลับมา 100%

  • ผู้ที่คาดหวังการใช้งานสูงผิดปกติ

ผู้ป่วยที่อายุน้อยและมีแผนทำกิจกรรมหนัก ๆ เช่น วิ่งมาราธอน เพราะจะทำให้ข้อเข่าเทียมสึกหรอเร็วกว่ากำหนด

สถิติความเสี่ยง: ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุดคือ การติดเชื้อที่ข้อเข่าเทียม ซึ่งพบได้ในอัตราที่ต่ำ คือประมาณ 1.6% ถึง 2% ของผู้ป่วย


3. การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด TKR และการวางแผนที่แม่นยำ

การเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จและการฟื้นตัวที่รวดเร็ว (Prehabilitation) การให้ความรู้และการเตรียมร่างกายที่ดี ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการผ่าตัดถึง 40-50%

1. การเตรียมร่างกายและสุขภาพทั่วไป (Medical Optimization)

  • จัดการภาวะการติดเชื้อ: ต้องแน่ใจว่าไม่มีอาการป่วย เช่น ไข้ ไอ หรือการติดเชื้อที่ฟัน/ทางเดินปัสสาวะ
  • งดสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่กระทบต่อการไหลเวียนเลือดและการหายของแผล ควรหยุดตามคำแนะนำของแพทย์
  • การใช้ยา: หยุดยาละลายลิ่มเลือด (เช่น Aspirin, Warfarin) ก่อนผ่าตัดประมาณ 5-10 วัน ตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด

2. การเตรียมความพร้อมทางกายภาพ (Prehabilitation)

  • ฝึกบริหารกล้ามเนื้อ: ฝึก เกร็งกล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps Setting) และกระดกข้อเท้าเป็นประจำเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหลังผ่าตัด
  • ฝึกการใช้เครื่องช่วยเดิน: ฝึกใช้ วอล์กเกอร์ (Walker) หรือไม้เท้าให้คล่องก่อนการผ่าตัด


3. การวางแผนการผ่าตัดโดยแพทย์

การวินิจฉัยและการวางแผนเป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนเพื่อให้ได้แนวแกนและตำแหน่งข้อเข่าเทียมที่ถูกต้อง แพทย์จะประเมิน:

  • ภาพเอกซเรย์ยาวตลอดขา (Full-length X-ray): เป็นภาพที่สำคัญที่สุดในการวัด แนวแกนทางกลศาสตร์ (Mechanical Axis) ของขา เพื่อวางแผนแก้ไขความผิดรูป (ขาโก่ง/ขาแป) ให้กลับมาเป็นเส้นตรง
  • การกำหนดขนาดข้อเข่าเทียม (Templating): ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการวัดขนาดกระดูกต้นขาและหน้าแข้ง เพื่อเลือกขนาดของข้อเข่าเทียมที่เหมาะสมที่สุด (ทำนายขนาดได้แม่นยำถึง 90-100%)


ความสำคัญของแนวแกน: การวางตำแหน่งข้อเข่าเทียมให้ แนวแกนถูกต้อง เป็นปัจจัยสำคัญในการ ยืดอายุการใช้งาน ของข้อเข่าเทียมให้ยาวนานขึ้น



4. ชนิดของข้อเข่าเทียมและเทคนิคการผ่าตัด มีกี่แบบ

1. องค์ประกอบหลักของข้อเข่าเทียม

ข้อเข่าเทียมประกอบด้วยวัสดุ 3 ส่วนหลักที่ออกแบบมาเพื่อลดการเสียดสีและรองรับน้ำหนัก:

  • ชิ้นส่วนโลหะ (Femoral/Tibial Component)

โคบอลต์-โครเมียม หรือ ไทเทเนียม

ทำหน้าที่เป็นผิวข้อต่อที่เรียบลื่น ทนทานต่อการสึกหรอ

  • ชิ้นส่วนพลาสติก (Insert/Liner)

โพลีเอทิลีนที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูงพิเศษ (UHMWPE)

ทำหน้าที่เสมือน กระดูกอ่อน ทนทานต่อการเสียดสี การสึกหรอของพลาสติกนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ข้อเข่าเทียมมีอายุการใช้งานจำกัด

  • ชิ้นส่วนสะบ้า (Patellar Component)

พลาสติกโพลีเอทิลีน

ใช้แทนผิวข้อด้านในของกระดูกสะบ้า

2. การจำแนกตามการออกแบบ

ข้อเข่าเทียมถูกออกแบบตามความมั่นคงของเส้นเอ็นของผู้ป่วย:

  • ชนิดอนุรักษ์เอ็นไขว้หลัง (Cruciate Retaining: CR): เก็บเอ็นไขว้หลัง (PCL) ของผู้ป่วยไว้ เพื่อการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ
  • ชนิดทดแทนเอ็นไขว้หลัง (Posterior Stabilized: PS): นำเอ็นไขว้หลังออก และใช้กลไกภายในข้อเทียมให้ความมั่นคง (เหมาะสำหรับผู้ที่มีเอ็นไขว้หลังเสียหาย)

3. เทคนิคการผ่าตัด: มาตรฐาน vs. หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด

ปัจจุบันมีการใช้ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-Assisted Surgery) ซึ่งเป็นการยกระดับจากเทคนิคมาตรฐาน เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

สถิติ: การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ให้ผลลัพธ์ในการ จัดเรียงแกนขาได้แม่นยำกว่า การผ่าตัดแบบมาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วย ยืดอายุการใช้งานข้อเข่าเทียม

อ่านเพิ่มเติมเรื่อง การผ่าตัดข้อเข่าเทียมด้วยหุ่นยนต์ คลิ๊ก (ลิงค์)



5. การดมยาสลบและการจัดการความเจ็บปวด (Postoperative Pain Management)

การจัดการความปวดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวและเคลื่อนไหวได้เร็วที่สุด วิสัญญีแพทย์มักใช้เทคนิคแบบ ผสมผสาน (Multimodal Analgesia) ซึ่งคือการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน

1. ตัวเลือกการระงับความรู้สึก (ระหว่างผ่าตัด)

  • การระงับความรู้สึกเฉพาะส่วน (Regional Anesthesia): เช่น การฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลัง (Spinal Block) หรือ การบล็อกเส้นประสาท (Peripheral Nerve Block) ซึ่งให้ผลดีเยี่ยมในการระงับปวดขณะผ่าตัดและลดความปวดหลังผ่าตัดได้ดีกว่า
  • การระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย (General Anesthesia): ผู้ป่วยหมดสติและไม่รู้สึกเจ็บปวด


2. การจัดการความเจ็บปวดหลังผ่าตัด

  • การใช้ยาแก้ปวดหลายชนิด: ผสมผสานระหว่างยาแก้ปวดกลุ่ม โอปิออยด์ (สำหรับปวดรุนแรง) กับยาแก้ปวดกลุ่ม ไม่ใช่โอปิออยด์ (เช่น NSAIDs) เพื่อลดปริมาณการใช้ยาโอปิออยด์และผลข้างเคียง
  • เครื่องควบคุมยาแก้ปวดด้วยตนเอง (PCA): ผู้ป่วยสามารถกดปุ่มให้ยาแก้ปวดเข้าหลอดเลือดดำได้เองเมื่อปวด
  • การบล็อกเส้นประสาทต่อเนื่อง (Continuous Nerve Block): การใส่สายสวนเพื่อปล่อยยาชาเฉพาะที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมความปวดได้นานหลายวัน

สถิติความปวด: แม้เทคนิคจะก้าวหน้า แต่ 75–88% ของผู้ป่วยยังรายงานความรุนแรงของความปวดในระดับปานกลางถึงรุนแรงหลังผ่าตัดทันที ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรร่วมมือและสื่อสารกับแพทย์อย่างซื่อสัตย์เกี่ยวกับระดับความปวดที่รู้สึก



สถิติภาพรวมความสำเร็จของ TKR

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาผ่าตัดจริงประมาณ 1 ถึง 3 ชั่วโมง และให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว:


การตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด TKR ควรอยู่ภายใต้การวินิจฉัยและคำแนะนำของ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ เท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและคุณภาพชีวิตที่กลับคืนมา.



ขั้นตอนผ่าตัดและไทม์ไลน์การฟื้นตัว: การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKR)

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKR) เป็นขั้นตอนการรักษาที่ได้มาตรฐานและมีความสำเร็จสูง โดยมีเป้าหมายคือการ ลดปวด และ คืนอิสระในการเดิน ให้กับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรง ความสำเร็จในระยะยาวถูกกำหนดโดยความแม่นยำของการผ่าตัด การเลือกชนิดของข้อเข่าเทียม และที่สำคัญที่สุดคือ การทำกายภาพบำบัดและการดูแลตนเอง หลังผ่าตัด


6. ระยะเวลาและผลลัพธ์ของการผ่าตัด TKR: สถิติที่ต้องรู้

1. ระยะเวลาของขั้นตอนการผ่าตัด

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด (Total Knee Replacement) เป็นหัตถการที่ใช้เวลาไม่นานนัก

  • เวลาผ่าตัดจริง: โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 1 ถึง 3 ชั่วโมง
  • TKR ทั้งหมด: มักใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง หรือ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อน
  • TKR บางส่วน (Partial Knee Replacement): ใช้เวลาสั้นกว่า เพียง 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
  • เวลารวม: ผู้ป่วยจะต้องเผื่อเวลาก่อนผ่าตัด (Pre-operative Prep) และพักฟื้นในห้องพักฟื้น (Recovery Room) เพิ่มเติมอีกประมาณ 1-2 ชั่วโมงในแต่ละขั้นตอน

2. สถิติที่น่าสนใจหลังการผ่าตัด TKR

ผลลัพธ์ของ TKR เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่งในระยะยาว โดยมีสถิติดังนี้:

  • อายุการใช้งานของข้อเข่าเทียม: ข้อเข่าเทียมที่ติดตั้งในปัจจุบันส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 15 ถึง 20 ปี
  • อัตราความสำเร็จในระยะยาว: มากกว่า 90% ของข้อเข่าเทียมยังคงใช้งานได้ดีหลังผ่าตัดไปแล้ว 15 ปี
  • โอกาสต้องผ่าตัดแก้ไข (Revision): มีโอกาสต่ำมากเพียง 3.9% ในช่วง 10 ปีแรก
  • การลดความเจ็บปวด: ผู้ป่วยมากกว่า 90% จะรู้สึกเจ็บปวดลดลงอย่างมากและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

7. การดูแลแผลผ่าตัดและป้องกันการติดเชื้อ: หัวใจของการฟื้นตัว

การป้องกัน การติดเชื้อที่ตำแหน่งผ่าตัด (Surgical Site Infection: SSI) ถือเป็น หัวใจสำคัญที่สุด ในการลดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เพราะถึงแม้จะพบในอัตราต่ำ (0.5% ถึง 3%) แต่หากเกิดขึ้นจะส่งผลร้ายแรงและทำให้ผู้ป่วยต้อง นอนโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 7-11 วัน

1. การดูแลแผลและรักษาความสะอาด

  • รักษาความแห้ง: ดูแลแผลไม่ให้โดนน้ำหรือความชื้นโดยไม่จำเป็น และซับบริเวณพลาสเตอร์ให้แห้งทันทีหลังอาบน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการเปิดแผลเอง: ห้ามเปิดผ้าปิดแผลเองจนกว่าจะถึงวันนัดแพทย์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
  • ข้อห้ามใช้สารเคมี: ไม่ควรใช้ แอลกอฮอล์ หรือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ถูบริเวณแผล เพราะอาจทำลายเนื้อเยื่อ

2. สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบแพทย์

ผู้ป่วยและผู้ดูแลต้องสังเกตอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นสัญญาณของแผลติดเชื้อ:

  • มีไข้ หรือมีอาการหนาวสั่น
  • ปวดแผลมากผิดปกติ หรืออาการปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • แผล บวม แดง ร้อนจัด หรือผิวหนังบริเวณรอบแผลแดงขยายวงกว้าง
  • มี หนอง หรือน้ำคัดหลั่งซึมออกมาจากแผล และอาจมีกลิ่นเหม็น
  • ขอบแผลแยก หรือมีรอยเย็บปริแตก

8. การจัดการความปวดหลังผ่าตัด: เพื่อการฟื้นตัวที่รวดเร็ว

การจัดการความปวดหลังผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเริ่ม กายภาพบำบัด และ เคลื่อนไหวร่างกายแต่เนิ่น ๆ ได้ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่การฟื้นตัว (Early Ambulation) แนวทางปัจจุบันเน้น การจัดการความปวดแบบผสมผสาน (Multimodal Pain Management)

1. การจัดการด้วยยา (Pharmacologic Therapy)

  • ยาพื้นฐาน (First-line): ใช้ยาที่ไม่ใช่ยากลุ่ม Opioids เช่น Acetaminophen (Paracetamol) และ NSAIDs (เพื่อลดการอักเสบและลดปวด) เป็นหลัก
  • ยากลุ่ม Opioids: ใช้สำหรับความปวดระดับปานกลางถึงรุนแรง มักใช้ร่วมกับ เครื่องควบคุมการฉีดยาระงับปวดด้วยตัวผู้ป่วยเอง (PCA) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถจัดการความปวดได้เองภายใต้การควบคุมของแพทย์
  • การระงับปวดเฉพาะที่ (Regional Techniques): เช่น การฉีดยาชาบริเวณเส้นประสาท (Nerve Blocks) ซึ่งช่วยระงับความปวดบริเวณแผลผ่าตัดได้ดีมาก และลดความต้องการยา Opioids

2. การดูแลอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ยา (Nonpharmacologic Therapies)

  • การประคบเย็น (Cold Compression): ช่วยลดอาการปวด บวม และการอักเสบได้ดี โดยเฉพาะในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด
  • การเคลื่อนไหวร่างกายแต่เนิ่น ๆ (Early Ambulation): การลุกเดินเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้หลังผ่าตัดภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยลดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน และส่งเสริมการฟื้นตัว
  • การกายภาพบำบัด: การออกกำลังกายที่เหมาะสมตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด

หมายเหตุความปวด: แม้เทคนิคจะก้าวหน้า แต่ประมาณ 75-80% ของผู้ป่วยยังรายงานความปวดหลังผ่าตัด และมีรายงานว่า มากกว่า 80% ไม่ได้รับการจัดการความปวดหลังผ่าตัดอย่างเพียงพอ ดังนั้นการสื่อสารระดับความปวดกับทีมแพทย์จึงสำคัญมาก


9. กายภาพบำบัดและไทม์ไลน์การฟื้นตัวหลัง TKR: เมื่อไหร่จะกลับไปเดินได้? ขับรถได้?

ความสำเร็จของ TKR จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาด กายภาพบำบัด ที่เหมาะสมและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาเดินได้อย่างมั่นคงและเป็นอิสระ โปรแกรมกายภาพบำบัดจะเริ่มขึ้น ทันที หลังการผ่าตัด (ภายใน 24 ชั่วโมง)

ไทม์ไลน์การฟื้นตัวที่คาดหวังหลัง TKR

  • ระยะที่ 1 (ในโรงพยาบาล) 0-3 วันหลังผ่าตัด

เริ่มเดินโดยใช้อุปกรณ์ช่วย ภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด, การเกร็งกล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps Sets), การเคลื่อนไหวข้อเท้า (Ankle Pumps)

  • ระยะที่ 2 (ฟื้นฟูช่วงแรก) 1-4 สัปดาห์หลังผ่าตัด

เพิ่ม พิสัยการเคลื่อนไหว (ROM) ของข้อเข่า (เป้าหมายเบื้องต้น 90 องศา สำหรับการงอเข่า), ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขา

  • ระยะที่ 3 (ฟื้นฟูช่วงกลาง)4-12 สัปดาห์หลังผ่าตัด

ลดการใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน, ฝึกการเดินให้เป็นปกติ, ฝึกการทรงตัว, เริ่มออกกำลังกายแบบปิดข้อ (เช่น ลุกนั่งจากเก้าอี้), และ เริ่มขับรถได้ (เมื่อหยุดใช้ยา Opioids และควบคุมขาได้ดี)

  • การฟื้นตัวเต็มที่ 6-12 เดือน

กลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันและกิจกรรมสันทนาการส่วนใหญ่ได้เต็มที่

ข้อควรปฏิบัติสำคัญในการทำกายภาพบำบัด

  • การเคลื่อนไหวแต่เนิ่น ๆ: การลุกเดินภายใน 24 ชั่วโมงแรกช่วยลดความปวด เพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหว และช่วย ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล
  • พิสัยการเคลื่อนไหว (ROM): ผู้ป่วยส่วนใหญ่ควรสามารถงอเข่าได้ถึง 90 องศา ภายใน 4-6 สัปดาห์ หลังผ่าตัด
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง (High-impact activities) เช่น การวิ่ง เพื่อยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าเทียม


10 . อายุการใช้งานของข้อเข่าเทียม: ใช้งานได้นานแค่ไหน? 🦵

ข้อเข่าเทียมที่ติดตั้งในปัจจุบันถือว่ามีความทนทานสูงมาก

  • อายุการใช้งานเฉลี่ย: โดยทั่วไปข้อเข่าเทียมมีอายุการใช้งานอยู่ระหว่าง 15 ถึง 20 ปี
  • อัตราการอยู่รอดในระยะยาว (Survival Rate):
  • 10 ปี: ข้อเข่าเทียมประมาณ 90% ยังคงใช้งานได้ดีโดยไม่ต้องผ่าตัดแก้ไข
  • 20 ปี: ข้อเข่าเทียมประมาณ 80% ยังคงใช้งานได้ดี
  • 25 ปี: ข้อเข่าเทียมประมาณ 82% (จากการวิเคราะห์ล่าสุด) ยังคงทำงานได้ดี
  • ปัจจัยที่ทำให้อายุการใช้งานแตกต่างกัน:
  • ระดับกิจกรรม: ผู้ป่วยที่มีกิจกรรมที่มี แรงกระแทกสูง (High-Impact) เช่น การวิ่ง จะทำให้พื้นผิวพลาสติกสึกหรอเร็วกว่า
  • อายุของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่ อายุน้อยกว่า 55 ปี เมื่อผ่าตัด มีโอกาสสูงกว่าที่จะต้องผ่าตัดแก้ไขภายใน 20 ปี เนื่องจากมีชีวิตที่ยาวนานและมีกิจกรรมมากกว่า
  • น้ำหนักตัว: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะ เพิ่มแรงกด บนข้อเข่าเทียมและอาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลง


การดูแลรักษาข้อเข่าเทียมที่ดีที่สุด คือการ ควบคุมน้ำหนัก และการออกกำลังกายที่มี แรงกระแทกต่ำ (Low-Impact) อย่างสม่ำเสมอ


11. กิจกรรมที่ควรทำ vs. ควรหลีกเลี่ยงหลังเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

หลักการสำคัญหลัง TKR คือการ เน้นกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ และ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง เพื่อรักษาอายุการใช้งานของข้อเข่าเทียม


สิ่งที่ควรทำ (Low-Impact)

  • การเดิน (Walking): การออกกำลังกายพื้นฐานที่ดีที่สุด
  • ว่ายน้ำ หรือ ปั่นจักรยาน (Stationary Bike)
  • กอล์ฟ หรือ เทนนิสคู่ (Doubles Tennis)
  • จัดบ้านให้ปลอดภัย เช่น ติดตั้งราวจับ, กำจัดพรมที่ไม่ยึดติดพื้น


❌ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง (High-Impact/บิดตัวรุนแรง)

  • การวิ่ง (Running), การจ็อกกิง (Jogging), การกระโดด (Jumping)
  • กีฬาปะทะ (Contact Sports) เช่น บาสเกตบอล, ฟุตบอล
  • การนั่งยอง ๆ (Squatting), การคุกเข่า (Kneeling) (เพิ่มแรงดันบนข้อเทียม)
  • ห้ามนั่งไขว่ห้าง/ไขว่เข่า (บิดข้อต่อโดยไม่จำเป็น)

12. ภาวะแทรกซ้อนและความเสี่ยงหลัง TKR ที่ต้องทราบ ⚠️

แม้ TKR จะมีอัตราความสำเร็จสูงมาก แต่ภาวะแทรกซ้อนก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง (เช่น เบาหวาน, ภาวะอ้วนรุนแรง)

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ

1.การติดเชื้อที่ข้อต่อเทียม (Periprosthetic Joint Infection - PJI):

  • เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ ร้ายแรงที่สุด
  • อุบัติการณ์: เกิดขึ้นในผู้ป่วย น้อยกว่า 2%
  • ผลกระทบ: อาจต้องมีการผ่าตัดแก้ไข หรือการเอาข้อเทียมออก

2.ลิ่มเลือด (Blood Clots / DVT):

  • การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกที่ขา ซึ่งหากเคลื่อนไปปอดจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • การป้องกัน: แพทย์จะให้ ยาละลายลิ่มเลือด และแนะนำให้ เคลื่อนไหวร่างกายแต่เนิ่น ๆ

3.ข้อเข่าตึง (Stiffness / Arthrofibrosis):

  • เกิดจากการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นมากเกินไป ทำให้ งอหรือเหยียดได้ไม่สุด
  • การแก้ไข: ต้องทำ กายภาพบำบัดอย่างเข้มข้น หรืออาจต้องมีการผ่าตัดเพื่อดัดข้อเข่าภายใต้การดมยาสลบ

4.ความล้มเหลวของข้อต่อเทียม (Implant Failure/Loosening):

  • ข้อต่อเทียมหลวมหรือสึกหรอเมื่อใช้งานไปนานหลายปี (เกิดหลัง 15-20 ปี) ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข (Revision Surgery)


13 .TKR vs. การรักษาแบบอื่น ๆ: ทางเลือกที่ดีที่สุดคืออะไร?

การผ่าตัด TKR เป็นการรักษาสำหรับ ข้อเข่าเสื่อมระยะสุดท้าย (End-Stage Osteoarthritis) เมื่อการรักษาแบบอื่น ๆ ล้มเหลว

คุณสมบัติ

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKR)

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (Non-Surgical)

วัตถุประสงค์หลัก

แก้ไขข้อต่อที่เสียหายและ กำจัดความเจ็บปวดอย่างถาวร

จัดการอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชันการใช้งาน ชั่วคราว

ความเจ็บปวดที่ลดลง

สูงสุด (90-95% พึงพอใจ)

ปานกลางถึงดี (ผลชั่วคราว)

ความเสี่ยง

สูง (การผ่าตัดใหญ่)

ต่ำ (ผลข้างเคียงจากยา/สารฉีดเป็นหลัก)

ระยะเวลาพักฟื้น

นาน (6 เดือน – 1 ปี เพื่อฟื้นตัวเต็มที่)

สั้นมากถึงปานกลาง

เหมาะสมกับระยะโรค

ข้อเข่าเสื่อม ระยะสุดท้าย (End-Stage)

ข้อเข่าเสื่อม ระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง

สรุป: TKR เป็นทางเลือกที่ คุ้มค่าที่สุด และให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาฉีดหรือกายภาพบำบัดแล้ว และมีอาการปวดรุนแรงจน กระทบต่อคุณภาพชีวิต


14. ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด TKR: ปัจจัยกำหนดราคา 💰

ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด TKR ในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในประเทศไทย มักอยู่ในช่วง 250,000 บาท ถึง 350,000 บาท ขึ้นไป (สำหรับการผ่าตัด 1 ข้าง)

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย

  1. เทคนิคการผ่าตัด: การผ่าตัดโดยใช้ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-Assisted TKR) หรือระบบนำทางด้วยคอมพิวเตอร์ จะมีค่าใช้จ่าย สูงกว่า การผ่าตัดแบบดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด
  2. ชนิดของข้อเทียม: ข้อเข่าเทียมมีหลายเกรด หลายยี่ห้อ และวัสดุที่ใช้ ซึ่งมีผลต่อราคาโดยตรง
  3. ความซับซ้อน: การผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าเทียม (Revision TKR) จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการผ่าตัดครั้งแรกมาก
  4. ประเภทโรงพยาบาล: โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลทั่วไป
  5. ค่ากายภาพบำบัด: ค่าใช้จ่ายในส่วนของกายภาพบำบัดหลังออกจากโรงพยาบาล อาจรวมอยู่ในแพ็กเกจหรือไม่รวมก็ได้


15. รีวิวและความพึงพอใจจากผู้ที่เคยผ่าตัดจริง: ได้ชีวิตกลับคืนมา

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เข้ารับการผ่าตัด TKR มีความพึงพอใจสูงมาก และมักกล่าวว่าพวกเขา "ได้ชีวิตกลับคืนมา" (get my life back)

  • ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ: อาการปวดเรื้อรังลดลงหรือหายไปอย่างสิ้นเชิง สามารถ เดิน ช้อปปิ้ง และ ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้โดยไม่มีอาการปวด
  • ความท้าทายหลัก: ช่วงการทำ กายภาพบำบัด เป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด ผู้ป่วยจำเป็นต้องมี วินัย ในการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่า
  • อัตราความพึงพอใจ: โดยเฉลี่ย 80% - 95% ของผู้ป่วยรายงานว่า "พึงพอใจ" กับผลลัพธ์
  • สาเหตุความไม่พอใจ (10%-20%): มักเกิดจาก ความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง (เช่น คาดหวังว่าจะกลับไปวิ่งหนัก ๆ ได้) หรือปัญหาข้อเข่าตึงเล็กน้อยที่ยังคงอยู่

คำแนะนำ: ก่อนผ่าตัด ควร บริหารจัดการความคาดหวัง โดยทำความเข้าใจว่าเป้าหมายหลักคือการลดอาการปวดและการปรับปรุงการใช้งานในชีวิตประจำวัน และต้อง มุ่งมั่นในการทำกายภาพบำบัด เพื่อให้ผลลัพธ์ประสบความสำเร็จสูงสุด

ผลการรักษา

ติดต่อเรา