1. ข้อเข่าเสื่อมคืออะไร? สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือภาวะที่กระดูกอ่อนที่ปกคลุมปลายกระดูกบริเวณข้อเข่าเกิดการ สึกหรอและเสื่อมสภาพ ตามอายุและการใช้งาน ทำให้กระดูกใต้กระดูกอ่อนเกิดการเสียดสีกัน ก่อให้เกิดอาการอักเสบ ปวด และการเคลื่อนไหวติดขัด
สาเหตุหลัก:
- อายุ: เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด มักพบในผู้ที่มีอายุ มากกว่า 50 ปี
- น้ำหนักตัว: ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ทำให้ข้อเข่ารับน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมากและสึกหรอเร็วขึ้น
- การใช้งานหนัก/พฤติกรรม: การนั่งยอง ๆ, นั่งพับเพียบ, นั่งขัดสมาธิ หรือการเล่นกีฬาที่มีแรงกระแทกสูงซ้ำ ๆ
- อุบัติเหตุ: การบาดเจ็บของข้อเข่าเดิม (เช่น เอ็นฉีก, กระดูกแตก)

สัญญาณเตือนที่สำคัญ:
- ปวดเข่า: มักปวดตื้อ ๆ และปวดมากขึ้นเมื่อใช้งาน (เช่น เดิน, ยืน, ขึ้นบันได) และอาการจะดีขึ้นเมื่อได้พัก
- ข้อฝืด: โดยเฉพาะตอนเช้า หรือหลังจากการนั่งพักเป็นเวลานาน แต่จะดีขึ้นเมื่อเริ่มเคลื่อนไหว
- มีเสียงดังในข้อ: เสียงกรอบแกรบ หรือเสียง "ก๊อบแก๊บ" ขณะงอหรือเหยียดเข่า
- เข่าบวม: มีอาการอักเสบหรือบวมรอบ ๆ ข้อเข่า
- เข่าผิดรูป: ในระยะรุนแรง อาจเห็นว่าขาเริ่มโก่งงอผิดปกติ
สถิติที่น่าสนใจ:
📌 "น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 กิโลกรัม จะทำให้ข้อเข่าต้องรับภาระเพิ่มขึ้นประมาณ 4 กิโลกรัมขณะเดิน! ดังนั้นการลดน้ำหนักจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการชะลอความเสื่อมของข้อเข่า"

2. ข้อเข่าเสื่อมมีกี่ระยะ? ตอนนี้เราอยู่ระยะไหน ดูยังไง
แพทย์จะวินิจฉัยและแบ่งระยะความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมตามระบบ Kellgren-Lawrence (K/L) โดยพิจารณาจากภาพถ่ายรังสี (X-ray) เป็นหลัก เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกวิธีการรักษา
แบ่งออกเป็น 4 ระยะ (Grade)

- ระยะที่ 0
ภาพ X-ray : ปกติ (ไม่พบการเสื่อม)
อาการ : ไม่มีอาการปวดหรือข้อจำกัด
- ระยะที่ 1 (เริ่มต้น)
ภาพ X-ray : มีกระดูกงอกเล็กน้อย
อาการ : อาจมีอาการปวดเล็กน้อยหลังใช้งานหนัก
- ระยะที่ 2 (น้อย)
ภาพ X-ray : มีกระดูกงอกชัดเจนขึ้น ช่องว่างข้อเริ่มแคบลงเล็กน้อย
อาการ : มีอาการปวดและข้อฝืดเมื่อยืดเหยียด
- ระยะที่ 3 (ปานกลาง)
ภาพ X-ray : กระดูกงอกมาก ช่องว่างข้อแคบลงชัดเจน
อาการ : ปวดบ่อยขึ้น มีผลต่อกิจวัตรประจำวัน การรักษาแบบไม่ผ่าตัดยังใช้ได้ผล
- ระยะที่ 4 (รุนแรง)
ภาพ X-ray : ช่องว่างข้อแคบลงมากหรือหายไป มีกระดูกเสียดสีกัน ข้อผิดรูป
อาการ : ปวดรุนแรงตลอดเวลา ปวดขณะพัก เดินได้จำกัด การรักษาแบบผ่าตัดเป็นทางเลือกหลัก
📊 "ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมส่วนใหญ่มักเริ่มเข้าสู่การรักษาอย่างจริงจังเมื่ออยู่ในระยะที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นระยะที่การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (เช่น การฉีดน้ำเลี้ยงข้อ หรือ PRP) ยังคงให้ผลการบรรเทาอาการได้ดีที่สุด"
3. การรักษามีกี่แบบ ระยะไหนควรรักษายังไง
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมมีเป้าหมายคือการ ลดอาการปวด, ชะลอความเสื่อม, และเพิ่มการทำงานของข้อเข่า โดยจะเลือกวิธีการตามระยะของโรค:
ระยะที่ 1 & 2 (เริ่มต้น/น้อย)
- ปรับพฤติกรรม และ ลดน้ำหนัก
- กายภาพบำบัด และ ออกกำลังกาย เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
- ใช้ยาแก้ปวด/แก้อักเสบในระยะสั้น
ระยะที่ 3 (ปานกลาง)
- การรักษาทั้งหมดในระยะเริ่มต้น
- การฉีดยา เช่น สารน้ำเลี้ยงข้อ (HA) หรือ PRP เพื่อชะลอการเสื่อมและลดปวด
- พิจารณาทางเลือกอื่น ๆ (เช่น การส่องกล้องในข้อ)
ระยะที่ 4 (รุนแรง)
- การรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่สามารถควบคุมอาการปวดได้อีกต่อไป
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement - TKR) เพื่อทดแทนผิวข้อที่เสียหายอย่างถาวร
สถิติที่น่าสนใจ:
📈 "ในผู้ป่วยระยะรุนแรง (ระยะที่ 4) ที่ตัดสินใจผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม มีอัตราความสำเร็จในการลดอาการปวดและเพิ่มคุณภาพชีวิตสูงถึง 90% และข้อเข่าเทียมสมัยใหม่มักใช้งานได้นานกว่า 15-20 ปี" (ตัวเลขนี้เน้นย้ำความคุ้มค่าของการผ่าตัดในระยะสุดท้าย)

ทางเลือกการรักษาข้อเข่าเสื่อมแบบ "ไม่ผ่าตัด"
1. การรักษาข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้น: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการลดน้ำหนัก
การปรับพฤติกรรมคือหัวใจของการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในระยะเริ่มต้น (Grade 1-2) เพราะเป็นการจัดการกับรากฐานของปัญหา
- ลดภาระข้อเข่า (Load Reduction): หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดแรงกระแทกสูง (เช่น วิ่ง, กระโดด) และเปลี่ยนอิริยาบถที่เพิ่มแรงกดต่อข้อเข่า (เช่น นั่งยอง ๆ, นั่งขัดสมาธิ)
- ควบคุมน้ำหนักตัว (Weight Management): เป็นวิธีที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรเทาอาการ เพราะเป็นการลดแรงกดทับโดยตรง
- ใช้เครื่องช่วยพยุง: การใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน หรือไม้เท้าจะช่วยถ่ายเทน้ำหนักจากข้อเข่าที่ปวดไปยังพื้นหรือแขนได้
สถิติที่น่าสนใจ:
🎯 "น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม จะเพิ่มแรงกดบนข้อเข่าขณะเดินถึง 3-4 กิโลกรัม"
📉 "ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีน้ำหนักเกินสามารถลดอาการปวดเข่าได้ถึง 30% เพียงแค่ลดน้ำหนักลง 5% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น"
2. ทางเลือกยาและอาหารเสริม: ใช้ยาบรรเทาอาการและชะลอความเสื่อมอย่างไรให้ปลอดภัย
การใช้ยาเพื่อควบคุมอาการปวดและการอักเสบในขณะที่กำลังฟื้นฟูข้อเข่าด้วยวิธีอื่น ๆ
ยาลดอาการปวดและอักเสบ (NSAIDs):
- ใช้เมื่อ: มีอาการปวดและอักเสบเฉียบพลัน เพื่อบรรเทาอาการและให้สามารถทำกายภาพบำบัดได้
- ข้อควรระวัง: การใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร (แผลในกระเพาะอาหาร) และไต
อาหารเสริมบำรุงข้อ (Chondroitin และ Glucosamine):
- บทบาท: ช่วยเสริมสร้างส่วนประกอบของกระดูกอ่อน แต่มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น
ยาชะลอความเสื่อม (Diacerein):
- บทบาท: ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายกระดูกอ่อน มักใช้ในผู้ป่วยระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง
💊 "ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด เนื่องจากผู้ป่วยที่มีการใช้ยาแก้ปวด/แก้อักเสบ (NSAIDs) เป็นระยะเวลานาน อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ไตและกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ"
3. กายภาพบำบัดและการออกกำลังกาย: โปรแกรมสร้างความแข็งแรงรอบข้อเข่าที่ถูกต้อง
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงรอบข้อเข่าทำหน้าที่เป็นเหมือน "โช้คอัพ" ธรรมชาติ ช่วยลดแรงกระแทกและการสึกหรอ
เป้าหมายหลัก: เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) และกล้ามเนื้อรอบสะโพก เพื่อเพิ่มความมั่นคงของข้อเข่าและช่วยในการทรงตัว
ประเภทการออกกำลังกายที่แนะนำ:
- การออกกำลังกายแบบมีแรงกระแทกต่ำ (Low-Impact): เช่น การว่ายน้ำ, การเดินในน้ำ (ธาราบำบัด), การปั่นจักรยานอยู่กับที่
- การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหว (ROM): การยืดเหยียดเพื่อป้องกันข้อติด
บทบาทของนักกายภาพบำบัด: ประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสมกับระยะของโรคและการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละคน
สถิติที่น่าสนใจ:
💪 "การออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขาอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมได้ ทั้งในด้านการลดความเจ็บปวด ลดข้อฝืด และเพิ่มความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน" (มีรายงานว่าผู้ป่วยอาการดีขึ้นหลังทำกายภาพต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์)
4. การฉีดยาและสารน้ำเลี้ยงข้อ: ตัวช่วยลดปวดและเพิ่มความยืดหยุ่น (Hyaluronic Acid, PRP)
ใช้เป็นทางเลือกเสริมเมื่อการรักษาด้วยยาและการทำกายภาพบำบัดไม่สามารถควบคุมอาการปวดได้เต็มที่

- น้ำเลี้ยงข้อเทียม (HA)
ทำหน้าที่เหมือนสารหล่อลื่นและโช้คอัพในข้อเข่า ลดการเสียดสี
ระยะเวลาของผล (โดยประมาณ) 6 เดือน
- เกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP)
ใช้เลือดผู้ป่วยเอง สกัด Growth Factors เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมและลดการอักเสบ
ระยะเวลาของผล (โดยประมาณ) 6 เดือน ถึง 1 ปี
- สเตียรอยด์
ลดการอักเสบและอาการปวดอย่างรวดเร็ว
ระยะเวลาของผล (โดยประมาณ) หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน (ไม่ควรฉีดบ่อย)

ทางเลือกการรักษาแบบผ่าตัดและการเปรียบเทียบ
1. เมื่อไหร่ที่ต้องผ่าตัด? เกณฑ์ที่แพทย์แนะนำให้พิจารณาการเปลี่ยนข้อเข่า
การผ่าตัดมักเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่ได้ผลอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อโรคเข้าสู่ ระยะรุนแรง (ระยะที่ 4)
แพทย์จะแนะนำให้พิจารณาการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เมื่อมีเกณฑ์ต่อไปนี้:
- อาการปวดรุนแรงและเรื้อรัง: ผู้ป่วยมีอาการ ปวดตลอดเวลา แม้ในขณะพักหรือตอนกลางคืน ไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดที่แรงที่สุด
- ล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด: ผู้ป่วยได้รับการรักษาแบบอนุรักษ์นิยมทุกวิธีแล้ว (ยา, กายภาพบำบัด, การฉีดยา/PRP) เป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ดีขึ้น
- ข้อเข่าทำงานบกพร่องอย่างรุนแรง: การเคลื่อนไหวของข้อเข่าถูกจำกัดอย่างมาก เช่น ไม่สามารถเดินได้ในระยะทางสั้น ๆ หรือมี ข้อเข่าผิดรูป (ขาโก่ง/ขาแอ่น) ชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างร้ายแรง
สถิติที่น่าสนใจ:
📉 "ผู้ป่วยมากกว่า 95% ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม รายงานว่าอาการปวดลดลงอย่างมาก และคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันส่วนใหญ่ได้"
2. ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม: ข้อดี ข้อเสีย และความแตกต่าง
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมมี 2 รูปแบบหลัก ขึ้นอยู่กับความเสียหายของผิวข้อ
- เปลี่ยนข้อเข่าทั้งหมด (Total Knee Replacement - TKR)
เปลี่ยนผิวข้อทั้ง 3 ส่วน (กระดูกต้นขา, กระดูกหน้าแข้ง, สะบ้า)
เหมาะกับ ข้อเข่าเสื่อมรุนแรง (ระยะ 4) หรือเสื่อมหลายส่วน
- เปลี่ยนข้อเข่าเฉพาะส่วน (Partial Knee Replacement - PKR)
เปลี่ยนผิวข้อเฉพาะส่วนที่เสียหาย (ส่วนใหญ่คือด้านใน)
เหมาะกับ ข้อเสื่อมอยู่แค่บริเวณเดียว และเอ็นยึดข้อเข่ายังแข็งแรง
ข้อดีของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า:
- กำจัดอาการปวดที่เกิดจากการเสียดสีของกระดูกได้เกือบทั้งหมด
- ช่วยให้ข้อเข่ากลับมาเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น และแก้ไขรูปทรงของขาที่ผิดปกติ
ข้อเสีย/ความเสี่ยง:
- ความเสี่ยงจากการผ่าตัดทั่วไป (การติดเชื้อ, ลิ่มเลือดอุดตัน)
- การสึกหรอของข้อเทียมในระยะยาว (ต้องพิจารณาการผ่าตัดซ้ำ)
- การฟื้นฟูหลังผ่าตัดต้องอาศัยความร่วมมือและวินัยสูง
สถิติที่น่าสนใจ:
⚙️ "ข้อเข่าเทียมที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มักมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 15-20 ปี หรือมากกว่านั้น โดยมีอัตราการอยู่รอดของข้อเทียมสูงถึง 85%-90% ที่ระยะเวลา 20 ปี"
3. หลังผ่าตัดเป็นอย่างไร? การเตรียมตัวและการดูแลตัวเองเพื่อการฟื้นฟูที่รวดเร็ว
ความสำเร็จของการผ่าตัดขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูหลังผ่าตัดเป็นอย่างมาก
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด: การตรวจสุขภาพโดยละเอียด, การปรับสภาพร่างกายและกล้ามเนื้อให้แข็งแรงที่สุด (Pre-habilitation), การทำความเข้าใจขั้นตอนการผ่าตัดและการฟื้นฟู
ช่วงหลังผ่าตัดทันที (ในโรงพยาบาล): เริ่มทำกายภาพบำบัดอย่างรวดเร็ว (มักจะเริ่มยืนหรือเดินด้วยเครื่องช่วยพยุงภายใน 1-2 วันหลังผ่าตัด) เพื่อป้องกันข้อติด
การฟื้นฟูที่บ้าน (Post-operative Care):
- กายภาพบำบัด: ทำแบบฝึกหัดเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวและความแข็งแรงตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- การดูแลแผล: ป้องกันการติดเชื้อ และสังเกตอาการบวม แดง ร้อน ที่ผิดปกติ
- การจัดการความปวด: ใช้ยาแก้ปวดตามคำสั่งแพทย์ เพื่อให้สามารถทำกายภาพบำบัดได้เต็มที่
- การกลับไปใช้ชีวิตปกติ: ส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันเบา ๆ ได้ใน 3-6 สัปดาห์ และกลับไปใช้ชีวิตส่วนใหญ่ได้ใน 3-6 เดือน
สถิติที่น่าสนใจ:
🏃 "ผู้ป่วยที่เข้าร่วมโปรแกรมกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอหลังผ่าตัด มักมีพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าดีกว่าผู้ที่ไม่ทำถึง 20%-30% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้กลับมาเดินได้เป็นปกติเร็วขึ้น"

4. ตารางเปรียบเทียบ: สรุปข้อดี-ข้อจำกัดของการรักษาแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (Non-Surgical)
- เหมาะกับ ระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง (Grade 1-3)
- เป้าหมายหลัก ชะลอการเสื่อม, บรรเทาอาการปวด
- ข้อจำกัด ไม่สามารถแก้ไขความผิดรูปของข้อที่รุนแรงได้, ไม่หายขาด
- ผลลัพธ์ บรรเทาอาการ, ต้องทำซ้ำ (เช่น การฉีด)
การรักษาแบบผ่าตัด (Surgical: TKR/PKR)
- เหมาะกับ : ระยะรุนแรง (Grade 4) หรือล้มเหลวจากการรักษาอื่น
- เป้าหมายหลัก แก้ไขปัญหาถาวร, กำจัดอาการปวดจากกระดูกเสียดสี
- ข้อจำกัด มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด, ต้องพักฟื้นนาน
- ผลลัพธ์ถาวรในการลดปวด (สำหรับอายุของข้อเทียม)
การเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณ:
💡 "การตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ เพื่อประเมินว่าข้อเข่าของคุณอยู่ในระยะใด และวิธีการรักษาใด (มีสถิติการรักษา) ที่จะมอบ 'คุณภาพชีวิต' ที่ดีที่สุดและยั่งยืนที่สุดให้กับคุณ"
สรุป: ข้อเข่าเสื่อมแบบไหน ควรผ่าตัด-ไม่ควรผ่าตัด แต่ละวิธีอยู่ได้นานแค่ไหน
การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ "ระยะของโรค" และ "ระดับความรุนแรงของอาการปวด" ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
1. 💚 ทางเลือก "ไม่ต้องผ่าตัด" (Non-Surgical)
วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมใน ระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง (Grade 1-3) โดยมีเป้าหมายคือการ ชะลอความเสื่อม และ ควบคุมอาการปวด

การลดน้ำหนัก/ปรับพฤติกรรม
- เหมาะกับ ทุกระยะของโรค (พื้นฐาน)
- ได้ผล ถาวร/ระยะยาว
- การลดน้ำหนักเพียง 5% ช่วยลดอาการปวดเข่าได้ถึง 30%
กายภาพบำบัด/ออกกำลังกาย
- เหมาะกับ ทุกระยะของโรค (พื้นฐาน)
- ได้ผล ถาวร/ระยะยาว
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขา ซึ่งเป็น "โช้คอัพ" ธรรมชาติของข้อเข่า
การฉีดสารน้ำเลี้ยงข้อ (HA)
- เหมาะกับ ระยะ 2-3 (ปานกลาง)
- ได้ผล ประมาณ 6 เดือน (ต้องฉีดซ้ำ)
- ช่วยเพิ่มสารหล่อลื่นและลดการเสียดสีชั่วคราว
การฉีดเกล็ดเลือด (PRP)
- เหมาะกับ ระยะ 2-3 (ปานกลาง)
- 6 เดือน - 1 ปี
- ผู้ป่วยในระยะนี้มีอาการดีขึ้นและปวดลดลงได้ถึง 50%-80% หลังการรักษา
2. ❤️ ทางเลือก "ผ่าตัด" (Surgical)
วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมใน ระยะรุนแรง (Grade 4) เมื่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และอาการปวดส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างร้ายแรง

ประเภทการผ่าตัด : การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKR/PKR)
เกณฑ์ในการพิจารณา : ปวดรุนแรงตลอดเวลา แม้ขณะพัก, ข้อเข่าผิดรูปชัดเจน, เดินได้จำกัด
ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน : 15-20 ปี (อายุขัยของข้อเทียม)
สถิติที่น่าสนใจ : ผู้ป่วยที่ผ่าตัด 90%-95% รายงานว่าอาการปวดลดลงอย่างมากและคุณภาพชีวิตดีขึ้น

🔑 สรุปการตัดสินใจ
ข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง (ปวดเป็นบางครั้ง/ปวดเมื่อใช้งานหนัก)
- ไม่ต้องผ่าตัด เน้นการลดน้ำหนัก, กายภาพบำบัด, และการฉีดสารช่วยประคับประคองตามคำแนะนำของแพทย์
ข้อเข่าเสื่อมระยะรุนแรง (ปวดตลอดเวลา, เดินได้ไม่เกิน 50 เมตร, เข่าผิดรูป)
- สมควรผ่าตัด เพื่อกำจัดอาการปวดที่เกิดจากการเสียดสีของกระดูก และฟื้นฟูการใช้ชีวิตให้กลับมาปกติ
สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ เพื่อยืนยันระยะของโรคจากภาพเอกซเรย์ และเลือกแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณครับ










